วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เด็กติดเกมได้บ้าง

ปัจจัยทางชีวภาพ
น่าจะมีความสัมพันธ์กับวงจรในสมองซึ่งก่อให้เกิดความสุขและเสพติด (brain reward circuit) คล้ายคลึงกับการติดสารเสพติด

ปัจจัยทางจิตสังคม
เกมคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันมีเครือข่ายกว้างขวางและเข้าถึงง่ายมากขึ้น ประกอบกับคุณสมบัติในการตอบสนองความต้องการทางจิตใจของเด็ก ได้แก่ ความสนุกสนาน ความรู้สึกประสบความสำเร็จ ความตื่นเต้นเร้าใจ และการระบายความก้าวร้าว การเล่นเกมมักจะมีความยากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อให้เกิดความท้าทาย โดยผู้เล่นทุกคนมีโอกาสชนะหรือประสบความสำเร็จมากขึ้นจากการเล่นซ้ำ ๆ และมักจะได้รับรางวัลซึ่งเป็นแรงเสริมด้านบวกทันทีเมื่อได้รับชัยชนะ เด็กจึงเกิดความรู้สึกพึงพอใจที่ตนเองก็สามารถเอาชนะหรือประสบความสำเร็จได้ เด็กวัยรุ่นที่มีความนับถือตนเองต่ำจากการที่ไม่ค่อยได้รับความสำเร็จจากกิจกรรมอื่น ๆ ในโลกความเป็นจริง มักจะมีความสนุกสนานและพึงพอใจกับความสำเร็จในเกมจนไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะเด็กที่ขาดการฝึกระเบียบวินัยที่เหมาะสมก่อน

ปัจจัยทางครอบครัว
ครอบครัวของเด็กติดเกม ผู้ปกครองมักจะไม่ได้มีการฝึกวินัยให้่ลูกอย่างเหมาะสมตั้งแต่วัยเด็ก โดยอาจเกิดเนื่องจากขาดทักษะในการฝึกวินัย ไม่มีเวลา หรือไม่เห็นความสำคัญเพียงพอ ในบางครอบครัวผู้ปกครองไม่ค่อยมีเวลาใกล้ชิดและความผูกพันทางอารมณ์กับลูก บางครอบครัวเด็กต้องแบกรับความเครียดจากความคาดหวังของพ่อแม่ เด็กจึงหาทางออกด้วยการเล่นเกมคอมพิวเตอร์

สังคม
ในปัจจุบันสังคมมีค่านิยมสนับสนุนให้เด็กใช้คอมพิวเตอร์เพื่อดูเป็นเด็กฉลาด ทันสมัย โดยอาจจะยังไม่ได้ตระหนักถึงผลดี ผลเสียของเทคโนโลยีมากเพียงพอ และอาจจะยังไม่ได้เตรียมความพร้อมเด็กให้พร้อมสำหรับการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมเสียก่อน

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

พฤติกรรมเด็กติดเกม

เกมคืออะไร
เกม คือ เครื่องเล่น ของเล่น หรืออุปกรณ์การละเล่นต่าง ๆ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อความบันเทิง สนุกสนาน เป็นเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา เกมที่เด็กและวัยรุ่นนิยมเล่นกันในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ ได้แก่ ตู้เกมหยอดเหรียญ วิดีโอเกม เกมคอมพิวเตอร์ทั้งแบบออนไลน์และไม่ออนไลน์

การเล่นเกมส่งผลต่อเด็กอย่างไร
จริง ๆ แล้วการเล่นเกมอาจส่งผลดีได้หลายอย่าง เช่น ได้ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน คลายความเครียด ฝึกทักษะ สมาธิ การตัดสินใจ การทำงานของกล้ามเนื้อและการประสานกันระหว่างมือกับตา แต่ถ้าหากเด็กหมกม่นและใช้เวลาในการเล่นเกมมากจนเกินไปก็สามารถก่อให้เกิดปัญหาที่ร้ายแรงตามมามากมาย เด็กวัยรุ่นจำนวนมากที่ติดเกมจะหมกมุ่นกับการเล่นเกมอย่างมากจนส่งผลกระทบต่อหน้าที่ความรับผิดชอบในการเรียน ผลการเรียน ยอมที่จะอดอาหารหรืออดนอนจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เลิกทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่เคยชอบและอาจมีปัญหาพฤติกรรมอื่น ๆ ตามมา เช่น พูดโกหก ขโมยเงิน หนีเรียน หนีออกจากบ้าน และการเล่นจนกลายเป็นการพนัน

ระดับของเด็กในการเล่นเกมอยู่ในขั้นไหน
1. เด็กเริ่มชอบเกม คือ เด็กมักจะชอบเล่นตามเพื่อนและชอบทำอะไรเหมือน ๆ กัน อยากรู้ อยากเห็น เพื่อความสนุกสนาน ไม่มีผลกระทบต่อการเรียนและการดำรงชีวิตตามปกติ ถ้าไม่ได้เล่นเกมก็ไม่เป็นไร
2. เด็กหลงใหลหรือคลั่งไคล้เกม คือ เด็กเล่นเกมแล้วสนุกเพลิดเพลิน มีความภูมิใจที่ชนะหรือผ่านด่านที่สูงขึ้นในเกม เด็กต้องการมีเพื่อนที่เล่นด้วยกัน พูดคุยกันในเรื่องเดียวกัน เด็กพยายามจัดเวลาเล่นในชีวิตประจำวัน คือ เล่นยามว่าง เล่นเป็นงานอดิเรก แต่การเรียนและชีวิตประจำวันยังปกติดี
3. เด็กติดเกม คือ เด็กมีกิจกรรมเล่นเกมอย่างเดียว โดยไม่สนใจอย่างอื่น หมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกมทั้งวัน ไม่ทำการบ้าน ไม่ทำงานส่งครู ไม่ไปโรงเรียน ไม่สนใจงานบ้าน มีผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ


เมื่อไรจึงจะถือว่าเด็กติดเกมแล้ว
1. มีความรู้สึกเพลิดเพลินใจในเวลาที่ได้เล่นเกม
2. มีความพึงพอใจเมื่อได้รับชัยชนะในการเล่นเกมและต้องการชัยชนะเพิ่มขึ้นอีก
3. มักใช้เวลาในการเล่นเกมนานจนเกินกว่าที่ตั้งใจในการบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วก็จะมีความต้องการเล่นในระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
4. รู้สึกหงุดหงิดกระวนกระวายหรือมีอาการทางกายจากความเครียดเมื่อถูกขัดขวางไม่ให้เล่นเกม
5. มีการดิ้นรนหรือพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้เล่นเกม
6. มีความต้องการเล่นเกมมากขึ้นในเวลาที่รู้สึกเครียดและเล่นเกมเพื่อหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปัญหา
7. มีความคิดหมกมุ่นกับการเล่นเกมอย่างมาก คิดวางแผนเพื่อเอาชนะในการเล่นเกมครั้งต่อไป
8. มีความต้องการเล่นเกมตลอดเวลาจนมีผลกระทบต่อตนเองหลายด้าน เช่น การเรียน สุขภาพ ครอบครัว
9. หากมีความพยายามที่จะลดหรือเลิกเล่นเกมก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้

การแก้ปัญหา
ไม่ควรใช้วิธีการห้าม ควรที่จะพูดคุยโดยฟังความคิดเห็นของเด็ก และร่วมให้เด็กช่วยกันแก้ไขปัญหา ผู้ใหญ่ต้องมั่นใจว่าตนเองมีเหตุผลเพียงพอที่จะโน้มน้าวเพื่อให้เด็กสามารถลดเวลาการเล่นเกม แต่ขณะเดียวกัน ผู้ใหญ่ก็ต้องช่วยหาทางออกหรือกิจกรรมอื่นที่สร้างสรรค์มาทดแทน เทคนิควิธีการแก้ปัญหาเพิ่มเติมสำหรับเด็กสำหรับเด็กติดในระยะแรก คือ เริ่มชอบและหลงใหลเกมแล้ว ผู้ใหญ่ควรเข้าไปมีส่วนร่วมกับเด็กในขณะที่เล่นเกม พิจารณาเกมที่มีประโยชน์และสร้างสรรค์สำหรับเด็ก และป้องกันไม่ให้มีเกมที่รุนแรง กำหนดเวลาให้เด็กได้เล่นในเวลาที่เหมาะสม หากวันธรรมดาไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมง ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง เพราะว่าในระยะนี้ยังเป็นระดับที่พ่อแม่สามารถทำความเข้าใจและควรชี้แนะให้เข้าเล่นอย่างเหมาะสมได้

ทฤษฎีการเรียนรู้

1. ทฤษฎีการวางเงื่อนไขการกระทำ Operant Conditioning
ผู้คิดค้นทฤษฎีนี้ คือ เบอร์รัส เอฟ สกินเนอร์ Burrhus F.Skinner โดยมีความเชื่อว่า แรงเสริม เป็นตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรมหรือการเรียนรู้ของเด็ก แนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มนี้ถือว่า สิ่งแวดล้อมหรือประสบการณ์จะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม และการเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเชื่อมโยงระหว่าง สิ่งเร้า Stimulus กับ การตอบสนอง Response การแสดงพฤติกรรมจะมีความถี่มากขึ้นหากได้รับการเสริมแรง

2. ทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาสังคม Social Cognitive Learning
ผู้คิดค้นทฤษฎีนี้ คือ อัลเบิร์ต บันดูร่า Albert Bandura ได้พัฒนาทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม โดยมีความเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นภายในโดยไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาให้เห็น แต่ถ้ามีการแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอก ก็เป็นการยืนยันว่า เกิดการเรียนรู้ ซึ่งบันดูร่าเน้นการเรียนรู้ที่เกิดจากการสังเกตตัวแบบ คือ เมื่อบุคคลสังเกตตัวแบบ แสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ก็จะจดจำพฤติกรรมต่าง ๆ ของตัวแบบเอาไว้ แต่มิได้แสดงพฤติกรรมตามตัวแบบในทันทีทันใด ต่อมาเมื่อมีโอกาสจึงได้แสดงพฤติกรรมนั้นออกมา การสังเกตตัวแบบซึ่งมีทั้งตัวแบบที่เป็นคนจริงและตัวแบบสัญลักษณ์ การสังเกตตัวแบบทำให้บุคคลเรียนรู้ทั้งพฤติกรรมการแสดงออกทางความคิด อารมณ์และอื่น ๆ พร้อม ๆ กัน ตัวแบบที่บุคคลเห็นจะช่วยให้บุคคลเรียนรู้พฤติกรรมใหม่ ทั้งนี้กระบวนการเรียนรู้โดยการสังเกตมีขั้นตอน 4 อย่าง คือ กระบวนการใส่ใจ Attention กระบวนการจดจำ Retention กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ Visual Imagery และกระบวนการจูงใจ Motivation

ขั้นตอนการปรับพฤติกรรม

1. กำหนดพฤติกรรมเป้าหมาย
2. รวมรวมและบันทึกข้อมูลเพื่อทำให้แน่ใจว่าพฤติกรรมเป้าหมายนั้นเป็นปัญหาจริง
3. วิเคราะห์พฤติกรรม
4. กำหนดสิ่งที่มีศักยภาพเป็นตัวเสริมแรง
5. วางแผนและดำเนินการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขผลกรรม ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของพฤติกรรมเป้าหมายที่กำหนด
6. ประเมินประสิทธิภาพของการดำเนินการปรับพฤติกรรม

ลักษณะของการปรับพฤติกรรม

1. มุ่งที่พฤติกรรมโดยตรง โดยที่พฤติกรรมนั้นต้องสังเกตเห็นได้และวัดได้
2. ไม่ใช้คำที่เป็นการตีตรา ยากต่อการสังเกตให้ตรงกันและยากต่อการจัดโปรแกรมปรับพฤติกรรม
3. พฤติกรรมที่ปกติหรืออปกติย่อมเกิดจากการเรียนรู้ในอดีตทั้งสิ้น ดังนั้นพฤติกรรมเหล่านั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยกระบวนการเรียนรู้
4. การปรับพฤติกรรมจะเน้นสภาพและเวลาในปัจจุบันเท่านั้น
5. การปรับพฤติกรรมจะเน้นทางบวกมากกว่าวิธีการลงโทษ
6. การปรับพฤติกรรมเป็นวิธีการที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่ามีประสิทธิภาพและได้ผลโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์

การปรับพฤติกรรม

การปรับพฤติกรรม behavior modification คือ การนำเอาหลักการแห่งพฤติกรรม behavior principles มาประยุกต์ใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างเป็นระบบโดยเน้นที่พฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้เป็นสำคัญ และมีความเชื่อพื้นฐานว่า พฤติกรรมปกติและไม่ปกติ พัฒนามาจากหลักการเรียนรู้

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เด็กติดเกมได้บ้าง

ปัจจัยทางชีวภาพ
น่าจะมีความสัมพันธ์กับวงจรในสมองซึ่งก่อให้เกิดความสุขและเสพติด (brain reward circuit) คล้ายคลึงกับการติดสารเสพติด

ปัจจัยทางจิตสังคม
เกมคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันมีเครือข่ายกว้างขวางและเข้าถึงง่ายมากขึ้น ประกอบกับคุณสมบัติในการตอบสนองความต้องการทางจิตใจของเด็ก ได้แก่ ความสนุกสนาน ความรู้สึกประสบความสำเร็จ ความตื่นเต้นเร้าใจ และการระบายความก้าวร้าว การเล่นเกมมักจะมีความยากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อให้เกิดความท้าทาย โดยผู้เล่นทุกคนมีโอกาสชนะหรือประสบความสำเร็จมากขึ้นจากการเล่นซ้ำ ๆ และมักจะได้รับรางวัลซึ่งเป็นแรงเสริมด้านบวกทันทีเมื่อได้รับชัยชนะ เด็กจึงเกิดความรู้สึกพึงพอใจที่ตนเองก็สามารถเอาชนะหรือประสบความสำเร็จได้ เด็กวัยรุ่นที่มีความนับถือตนเองต่ำจากการที่ไม่ค่อยได้รับความสำเร็จจากกิจกรรมอื่น ๆ ในโลกความเป็นจริง มักจะมีความสนุกสนานและพึงพอใจกับความสำเร็จในเกมจนไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะเด็กที่ขาดการฝึกระเบียบวินัยที่เหมาะสมก่อน

ปัจจัยทางครอบครัว
ครอบครัวของเด็กติดเกม ผู้ปกครองมักจะไม่ได้มีการฝึกวินัยให้่ลูกอย่างเหมาะสมตั้งแต่วัยเด็ก โดยอาจเกิดเนื่องจากขาดทักษะในการฝึกวินัย ไม่มีเวลา หรือไม่เห็นความสำคัญเพียงพอ ในบางครอบครัวผู้ปกครองไม่ค่อยมีเวลาใกล้ชิดและความผูกพันทางอารมณ์กับลูก บางครอบครัวเด็กต้องแบกรับความเครียดจากความคาดหวังของพ่อแม่ เด็กจึงหาทางออกด้วยการเล่นเกมคอมพิวเตอร์

สังคม
ในปัจจุบันสังคมมีค่านิยมสนับสนุนให้เด็กใช้คอมพิวเตอร์เพื่อดูเป็นเด็กฉลาด ทันสมัย โดยอาจจะยังไม่ได้ตระหนักถึงผลดี ผลเสียของเทคโนโลยีมากเพียงพอ และอาจจะยังไม่ได้เตรียมความพร้อมเด็กให้พร้อมสำหรับการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมเสียก่อน

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

พฤติกรรมเด็กติดเกม

เกมคืออะไร
เกม คือ เครื่องเล่น ของเล่น หรืออุปกรณ์การละเล่นต่าง ๆ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อความบันเทิง สนุกสนาน เป็นเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา เกมที่เด็กและวัยรุ่นนิยมเล่นกันในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ ได้แก่ ตู้เกมหยอดเหรียญ วิดีโอเกม เกมคอมพิวเตอร์ทั้งแบบออนไลน์และไม่ออนไลน์

การเล่นเกมส่งผลต่อเด็กอย่างไร
จริง ๆ แล้วการเล่นเกมอาจส่งผลดีได้หลายอย่าง เช่น ได้ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน คลายความเครียด ฝึกทักษะ สมาธิ การตัดสินใจ การทำงานของกล้ามเนื้อและการประสานกันระหว่างมือกับตา แต่ถ้าหากเด็กหมกม่นและใช้เวลาในการเล่นเกมมากจนเกินไปก็สามารถก่อให้เกิดปัญหาที่ร้ายแรงตามมามากมาย เด็กวัยรุ่นจำนวนมากที่ติดเกมจะหมกมุ่นกับการเล่นเกมอย่างมากจนส่งผลกระทบต่อหน้าที่ความรับผิดชอบในการเรียน ผลการเรียน ยอมที่จะอดอาหารหรืออดนอนจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เลิกทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่เคยชอบและอาจมีปัญหาพฤติกรรมอื่น ๆ ตามมา เช่น พูดโกหก ขโมยเงิน หนีเรียน หนีออกจากบ้าน และการเล่นจนกลายเป็นการพนัน

ระดับของเด็กในการเล่นเกมอยู่ในขั้นไหน
1. เด็กเริ่มชอบเกม คือ เด็กมักจะชอบเล่นตามเพื่อนและชอบทำอะไรเหมือน ๆ กัน อยากรู้ อยากเห็น เพื่อความสนุกสนาน ไม่มีผลกระทบต่อการเรียนและการดำรงชีวิตตามปกติ ถ้าไม่ได้เล่นเกมก็ไม่เป็นไร
2. เด็กหลงใหลหรือคลั่งไคล้เกม คือ เด็กเล่นเกมแล้วสนุกเพลิดเพลิน มีความภูมิใจที่ชนะหรือผ่านด่านที่สูงขึ้นในเกม เด็กต้องการมีเพื่อนที่เล่นด้วยกัน พูดคุยกันในเรื่องเดียวกัน เด็กพยายามจัดเวลาเล่นในชีวิตประจำวัน คือ เล่นยามว่าง เล่นเป็นงานอดิเรก แต่การเรียนและชีวิตประจำวันยังปกติดี
3. เด็กติดเกม คือ เด็กมีกิจกรรมเล่นเกมอย่างเดียว โดยไม่สนใจอย่างอื่น หมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกมทั้งวัน ไม่ทำการบ้าน ไม่ทำงานส่งครู ไม่ไปโรงเรียน ไม่สนใจงานบ้าน มีผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ


เมื่อไรจึงจะถือว่าเด็กติดเกมแล้ว
1. มีความรู้สึกเพลิดเพลินใจในเวลาที่ได้เล่นเกม
2. มีความพึงพอใจเมื่อได้รับชัยชนะในการเล่นเกมและต้องการชัยชนะเพิ่มขึ้นอีก
3. มักใช้เวลาในการเล่นเกมนานจนเกินกว่าที่ตั้งใจในการบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วก็จะมีความต้องการเล่นในระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
4. รู้สึกหงุดหงิดกระวนกระวายหรือมีอาการทางกายจากความเครียดเมื่อถูกขัดขวางไม่ให้เล่นเกม
5. มีการดิ้นรนหรือพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้เล่นเกม
6. มีความต้องการเล่นเกมมากขึ้นในเวลาที่รู้สึกเครียดและเล่นเกมเพื่อหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปัญหา
7. มีความคิดหมกมุ่นกับการเล่นเกมอย่างมาก คิดวางแผนเพื่อเอาชนะในการเล่นเกมครั้งต่อไป
8. มีความต้องการเล่นเกมตลอดเวลาจนมีผลกระทบต่อตนเองหลายด้าน เช่น การเรียน สุขภาพ ครอบครัว
9. หากมีความพยายามที่จะลดหรือเลิกเล่นเกมก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้

การแก้ปัญหา
ไม่ควรใช้วิธีการห้าม ควรที่จะพูดคุยโดยฟังความคิดเห็นของเด็ก และร่วมให้เด็กช่วยกันแก้ไขปัญหา ผู้ใหญ่ต้องมั่นใจว่าตนเองมีเหตุผลเพียงพอที่จะโน้มน้าวเพื่อให้เด็กสามารถลดเวลาการเล่นเกม แต่ขณะเดียวกัน ผู้ใหญ่ก็ต้องช่วยหาทางออกหรือกิจกรรมอื่นที่สร้างสรรค์มาทดแทน เทคนิควิธีการแก้ปัญหาเพิ่มเติมสำหรับเด็กสำหรับเด็กติดในระยะแรก คือ เริ่มชอบและหลงใหลเกมแล้ว ผู้ใหญ่ควรเข้าไปมีส่วนร่วมกับเด็กในขณะที่เล่นเกม พิจารณาเกมที่มีประโยชน์และสร้างสรรค์สำหรับเด็ก และป้องกันไม่ให้มีเกมที่รุนแรง กำหนดเวลาให้เด็กได้เล่นในเวลาที่เหมาะสม หากวันธรรมดาไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมง ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง เพราะว่าในระยะนี้ยังเป็นระดับที่พ่อแม่สามารถทำความเข้าใจและควรชี้แนะให้เข้าเล่นอย่างเหมาะสมได้

ทฤษฎีการเรียนรู้

1. ทฤษฎีการวางเงื่อนไขการกระทำ Operant Conditioning
ผู้คิดค้นทฤษฎีนี้ คือ เบอร์รัส เอฟ สกินเนอร์ Burrhus F.Skinner โดยมีความเชื่อว่า แรงเสริม เป็นตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรมหรือการเรียนรู้ของเด็ก แนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มนี้ถือว่า สิ่งแวดล้อมหรือประสบการณ์จะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม และการเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเชื่อมโยงระหว่าง สิ่งเร้า Stimulus กับ การตอบสนอง Response การแสดงพฤติกรรมจะมีความถี่มากขึ้นหากได้รับการเสริมแรง

2. ทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาสังคม Social Cognitive Learning
ผู้คิดค้นทฤษฎีนี้ คือ อัลเบิร์ต บันดูร่า Albert Bandura ได้พัฒนาทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม โดยมีความเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นภายในโดยไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาให้เห็น แต่ถ้ามีการแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอก ก็เป็นการยืนยันว่า เกิดการเรียนรู้ ซึ่งบันดูร่าเน้นการเรียนรู้ที่เกิดจากการสังเกตตัวแบบ คือ เมื่อบุคคลสังเกตตัวแบบ แสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ก็จะจดจำพฤติกรรมต่าง ๆ ของตัวแบบเอาไว้ แต่มิได้แสดงพฤติกรรมตามตัวแบบในทันทีทันใด ต่อมาเมื่อมีโอกาสจึงได้แสดงพฤติกรรมนั้นออกมา การสังเกตตัวแบบซึ่งมีทั้งตัวแบบที่เป็นคนจริงและตัวแบบสัญลักษณ์ การสังเกตตัวแบบทำให้บุคคลเรียนรู้ทั้งพฤติกรรมการแสดงออกทางความคิด อารมณ์และอื่น ๆ พร้อม ๆ กัน ตัวแบบที่บุคคลเห็นจะช่วยให้บุคคลเรียนรู้พฤติกรรมใหม่ ทั้งนี้กระบวนการเรียนรู้โดยการสังเกตมีขั้นตอน 4 อย่าง คือ กระบวนการใส่ใจ Attention กระบวนการจดจำ Retention กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ Visual Imagery และกระบวนการจูงใจ Motivation

ขั้นตอนการปรับพฤติกรรม

1. กำหนดพฤติกรรมเป้าหมาย
2. รวมรวมและบันทึกข้อมูลเพื่อทำให้แน่ใจว่าพฤติกรรมเป้าหมายนั้นเป็นปัญหาจริง
3. วิเคราะห์พฤติกรรม
4. กำหนดสิ่งที่มีศักยภาพเป็นตัวเสริมแรง
5. วางแผนและดำเนินการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขผลกรรม ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของพฤติกรรมเป้าหมายที่กำหนด
6. ประเมินประสิทธิภาพของการดำเนินการปรับพฤติกรรม

ลักษณะของการปรับพฤติกรรม

1. มุ่งที่พฤติกรรมโดยตรง โดยที่พฤติกรรมนั้นต้องสังเกตเห็นได้และวัดได้
2. ไม่ใช้คำที่เป็นการตีตรา ยากต่อการสังเกตให้ตรงกันและยากต่อการจัดโปรแกรมปรับพฤติกรรม
3. พฤติกรรมที่ปกติหรืออปกติย่อมเกิดจากการเรียนรู้ในอดีตทั้งสิ้น ดังนั้นพฤติกรรมเหล่านั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยกระบวนการเรียนรู้
4. การปรับพฤติกรรมจะเน้นสภาพและเวลาในปัจจุบันเท่านั้น
5. การปรับพฤติกรรมจะเน้นทางบวกมากกว่าวิธีการลงโทษ
6. การปรับพฤติกรรมเป็นวิธีการที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่ามีประสิทธิภาพและได้ผลโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์

การปรับพฤติกรรม

การปรับพฤติกรรม behavior modification คือ การนำเอาหลักการแห่งพฤติกรรม behavior principles มาประยุกต์ใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างเป็นระบบโดยเน้นที่พฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้เป็นสำคัญ และมีความเชื่อพื้นฐานว่า พฤติกรรมปกติและไม่ปกติ พัฒนามาจากหลักการเรียนรู้